การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Systematic Problem Solving)
การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบหรือ Systematic Problem Solving เป็นศาสตร์ที่มีประโยชน์อย่างมากในการแก้ปัญหาในการทำงาน โดยเฉพาะสำหรับหัวหน้างานหรือผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่อาจต้องเกียวข้องกับการแก้ปัญหาด้านเทคนิคต่างๆ ที่มีความซับซ้อน ซึ่งหลายๆ องค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เนื่องจากสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาที่ซับซ้อนและยากได้ตรงและรวดเร็ว ปัญหาที่กล่าวถึง ณ ที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาด้านเทคนิค เช่น ด้านวิศวกรรม การวินิจฉัยของแพทย์ การสืบสวนสอบสวน หรือแม่แต่การตัดสินคดี ซึ่งปัญหาด้านเทคนิคเกือบทุกปัญหามีรูปแบบบางอย่างที่คล้ายๆ กัน และเครื่องมือที่สำคัญที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบคือ "คำถาม"
ในการแก้ปัญหาที่เราเห็นทั่วๆ ไปมักแก้โดยการเรียนรู้หรือประสบการณ์เก่าๆ เช่น ช่างซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ แต่เมื่อปัญหาซับซ้อนขึ้น ปัญหาสำคัญมากๆ หรือต้องการความแม่นยำในการแก้ปัญหา หรือในสถาณการณ์ที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน หรืออยู่ในสภาวะวิกฤติต่างๆ การแก้ปัญหาแบบปกติมักนำมาใช้ไม่ได้ผล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะสามารถนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาที่แม่นยำ รวดเร็วและตรงประเด็น
การใช้การแนวทางแก้ปัญหาแบบทั่วๆ ไปมาใช้แก้ปัญหาที่วิกฤต (Critical) มักไม่ได้ผล เนื่องจากแนวทางการแก้ปัญหาทั่วๆไปจะอาศัยคความเคยชินและประสบการณ์ ซึ่งอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการแก้ปัญหาคือ "การด่วนสรุป (Jump to conclusion)" การด่วนสรุปที่เร็วเกินไปนำไปสู่วิธีการลงมือแก้ปัญหาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สาเหตุทีแท้จริง หลายๆ ครั้งการด่วนสรุปยิ่งสร้างปัญหาให้เลวร้ายลงไปอีก เช่น วิศวกรแก้ปัญหาด้านเทคนิคผิด หมอสั่งยาผิด ช่างซ่อมรถเปลี่ยนอะไหล่ผิด สายสืบติดตามสืบหาผู้ต้องสงสัยผิด ศาลตัดสินคดีผิด เป็นต้น ซึ่งผลที่ตามมาที่เจอบ่อยๆ คือทำให้เสียเวลา เสียแรง เสียงบประมาณในการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด ซึ่งเกิดจากการด่วนสรุปเร็วเกินไปนั่นเอง
แนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
1. การรับรู้ปัญหา (Recognize Problem)
คือการรับทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร อะไรคือสิ่งผิดปกติ รวบรวมข้อมูลทั้งหมดของปัญหาที่เกิดขึ้นและสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาให้ครอบคลุม อาจเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่ายเพื่อประติดประต่อว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร อาจรวบรวมข้อมูลอยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูล หรืออาจต้องเก็บข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่เป็นไปได้ เครืองมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ "คำถาม"
หลายๆ ครั้งที่แก้ปัญหาผิดทางมักเกิดจากการรวบรวมข้อมูลไม่ครับ เมื่อข้อมูุลไม่ครบทำให้เกิดการด่วนสรุปและตามด้วยการเริ่มลงมือแก้แบบผิดทาง กว่าจะรู้ว่าผิดทางก็ทำให้เสียเงิน เสียเวลา เกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าเดิม
2. สรุปรูปแบบเฉพาะของปัญหา (Develop Problem Specification)
เขียนสเปกของปัญหาโดยหาคำตอบของ "คำถาม" ดังต่อไปนี้
- อะไรที่มีปัญหา? vs อะไรที่คล้ายๆ กันที่น่าจะมีปัญหา แต่ไม่มีปัญหา?
- เกิดปัญหาที่ไหน? vs ที่ไหนที่น่าจะเกิดปัญหาเหมือนกัน แต่ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น?
- เกิดปัญหาขึ้นเมื่อไหร่ vs เวลากไหนที่ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น?
- ขนาดหรือจำนวนหรือความรุนแรง ของปัญหามีเท่าไหร่? vs ขนาด จำนวน ความรุนแรง อื่นๆ ที่ไม่เกิดปัญหา?
ซึ่งสามารถสรุปรูปแบบเฉพาะของปัญหาดังตารางดังนี้
3. หาสาเหตุที่เป็นไปได้ (Search for Possible Cause)
เริ่มจาก หาความเป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness) ของปัญหาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ไม่เป็นปัญหา และ อะไรที่มีการเปลี่ยนแปลงก่อนหรือในช่วงที่จะเกิดปัญหาได้แก่ เวลา สถานที่ บุคคล อุปกรณ์ การเพิ่ม การลด กระบวนการณ์ ฯลฯ จากนั้นให้ลิสต์สาเหตุที่เป็นไปได้ (ผู้ต้องสงสัย) มากที่สุด ขึ้นมา 3 - 5 สาเหตุ
กระบวนการนี้จำเป็นต้องทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญพิเศษหรือผู้อยู่หน้างานซึ่งมีทักษะและประสบการณ์จะทำให้ได้สาเหตุที่เป็นไปได้ที่ใกล้เคียงขึ้น แต่มีข้อควรระวังคือผู้ที่เชี่ยวชาญพิเศษหรือผู้อยู่หน้างานมักจะด่วนสรุปสาเหตุปัญหาซึ่งทำให้หลงประเด็นได้เช่นกัน
4. เทียบสาเหตุที่เป็นไปได้กับสเปกปัญหา (Test Possible Causes)
นำลิสต์สาเหตุที่เป็นไปได้มาเทียบกับสเปกของปัญหาในข้อ 2. โดยตั้งคำถามว่าถ้าสาเหตุนั้นๆ เป็นต้นเหตุของปัญหาแล้ว สามารถตอบคำถามได้ทุกข้อหรือไม่ เช่น สาเหตุของปัญหาที่เป็นไปได้คือ "เกิดจากอุปกรณ์ A" เพราะเริ่มเอาอุปกรณ์ A มาใช้งานช่วงเวลาเดียวกันกับตอนเกิดปัญหา แล้วทำไมอุปกรณ์ B ไม่เกิดปัญหาทั้งๆ ที่เริ่มนำใช้พร้อมกับอุปกรณ์ A เป็นต้น อาจมีการตั้งสมมติฐานเมื่อไม่ทราบคำตอบเพื่อทดลองหรือทดสอบในขั้นตอนต่อไป
ซึ่งหลังจากเทียบสาเหตุที่เป็นไปได้กับสเปกปัญหา จะพบว่าสาเหตุที่เป็นไปได้บางข้อจะถูกตัดออกจากลิสต์เพราะไม่สมเหตุสมผล จะเหลือสาเหตุที่เป็นไปได้ไม่กี่ข้อ
จากนั้นให้เลือก "สาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุด" (Most Possible Cause) มา 1 ข้อ พร้อมกับสมมติฐานที่ต้องสืบสวน ทดสอบ หรือทดลองต่อไป
5. ทดสอบสาเหตุที่แท้จริง (Verify Real Cause)
เมื่อได้ "สาเหตุที่เป็นไปได้ที่สุด" มาแล้ว ให้วางแผนเพื่อทดสอบ ตรวจสอบ ทดลอง หรือสืบสวน ว่าเป็นต้นเหตุที่แท้จริงหรือไม่ เช่นเปลี่ยนอุปกรณ์ เพิ่มระบบมอนิเตอร์ ติดตามผล ซึ่งอาจต้องอาศัยผู้เชียวชาญพิเศษในเรื่องนั้นๆ ช่วยวางแผนเพื่อวิเคราะห์ ซึ่งกระบวนการนี้บางครั้งอาจต้องใช้เวลา แต่ประเด็นที่สำคัญคือถ้าตรวจสอบแล้วยังครุมเครือ ก็ไม่สามารถ "ด่วนสรุป" เด็ดขาด อาจทบทวนสาเหตุที่เป็นไปได้ที่รองลงมาทำการทดสอบได้เช่นกัน
ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นกระบวนการที่ผู้เขียนใช้มาตลอดในการแก้ปัญหาด้านวิศวกรรม 10 กว่าปีซึ่งสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ค่อนข้างตรงจุดและรวดเร็ว จริงๆ แล้วการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบยังสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาแบบธรรมดาได้เช่นกัน แต่เนื่องจากกระบวนการที่ดูเยอะทำให้คนหันไปใช้วิธีการเดิมๆ เพราะคิดว่าน่าจะแก้ปัญหาได้เร็วกว่า และพบว่าการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบนี้ไม่จำกัดในงานที่ชี่ยวชาญเท่านั้น หลายๆ ครั้งพบว่าหัวหน้างานที่ใช้เทคนิคการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบสามารถแก้ปัญหากับงานที่แม้ไม่เชี่ยวชาญได้ ด้วยการตั้ง "คำถาม" กับผู้อยู่หน้างานและนำไปสู่สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาในที่สุด
ปัจจุบันมีสถาบันที่เปิดสอนคอสการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบมากมาย และมักจะสอนควบคูู่กับคอสการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ (Systematic Decision Making) ซึ่งอาจต้องหาสถาบันที่น่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ในการสอน หรือผู้สอนมีทักษะการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบโดยตรง จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรที่ต้องการพัฒนาบุคครากรให้มีประสิทธิภาพต้องส่งพนักงานไปอบรมหลักสูตรนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่จำเป็นหลังจากการอบรมณ์ คือ การนำมาฝึกใช้อย่างสม่ำเสมอจนอยู่ในสายเลือดจึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงทั้งกับผู้เรียนและองค์กร
บรรพต เคลียพวงพิทย์
Bunphot K.
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
แนวคิดเชิงนวัตกรรม
แนวคิดเชิงนวัตกรรม
บรรพต เคลียพวงพิทย์
คงไม่ต้องอธิบายยืดยาวนักสำหรับนิยามของคำว่านวัตกรรม เนื่องจากได้มีผู้รู้มากมายได้นิยามและอธิบายไว้แล้วในเว๊บไซท์ต่างๆ ถ้าจะให้พูดถึงความหมายคร่าวๆของนวัตกรรมก็คงนิยามไม่ต่างจากผู้รู้ท่านอื่นๆ มากนัก คือต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ กระบวนการ หรือวิธีการใหม่ และต้อง "ขายได้" ซึ่งคำว่าขายได้ของผมไม่ได้หมายถึงได้เงินอย่างเดียวนะ ขายได้หมายความมันต้องตอบโจทย์สังคมหรือคนจำนวนมากด้วย คือผู้ใช้จำนวนมากบอกเป็นเสียงเดียวกันนี่แหละ สิ่งที่ฉันกำลังหาอยู่ คิดได้ไง ทำไมไม่มีใครทำสิ่งนี้มาตั้งนานแล้ว โดยนวัตกรรมส่วนใหญ่จะถูกต่อยอดไปในเชิงพาณิชย์ ตัวชี้วัดอันหนึ่งสำหรับนวัตกรรมที่เจ๋งคือส่วนใหญ่จะถูกเลียนแบบอาจจะทั้งหมดหรือบางส่วน
การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ไปสู่นวัตกรรมอาจต้องอาศัย เวลา เนื่องจากสิ่งประดิษฐ์นั้นๆ อาจจะยังไม่ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ หรือปัจจัยเสริมอื่นๆ ยังไม่เอื้ออำนวย หรือต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมอีกขั้นเพื่อความสมบูรณ์แบบ ตัวอย่าง เช่น หน้าจอสมาร์ทโฟนแบบสัมผัสที่ถูกพัฒนามาได้นานพอสมควร แต่กว่าจะถูกปล่อยออกมาเชิงพาณิชย์ที่มีผู้ซื้อสามารถเข้าถึงได้ก็ใช้เวลานาน
ขณะเดียวกันการผลักดันสินค้านวัตกรรมด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดก็อาจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะบางครั้งคนทั่วๆ ไปอาจยังไม่ตระหนัก หรืออาจยังมองไม่เห็นความจำเป็น ของสินค้าและบริการนั้้นๆ แต่เมื่อสินค้านวัตกรรมเหล่านั้นเข้าถึงหรือทำให้ผู้ใช้ตระหนัก สิงประดิษฐ์ใหม่ๆ หรือบริการใหม่ๆ จะกลายเป็นนวัตกรรมได้เช่นกัน นั่นหมายความว่าการสร้างนวัตกรรมอาจต้องอาศัยคนหลายฝ่า่ยทำงานประสานสอดคล้องเพื่อให้นวัตกรรมเกิด
ในเชิงพาณิชย์แล้วนวัตกรรมค่อนข้างปกปิด หมายความว่า สินค้านวัตกรรมจะถูกปิดเป็นความลับไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้คู่แข่งขโมยความคิดไปประดิษฐ์หรือถูกพัฒนาโดยคนทั่วๆ ไปเต็มไปหมด ซึ่งท้ายที่สุดก็ต้องมาแข่งขันกันเรื่องราคา ดังนั้นการวางแผนในการจดสิทธิบัติจึงเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาสินค้าเชิงนวัตกรรม
นักนวัตกรรม หรือ นวัตกร (Innovator)
องค์กรที่มีการพัฒนาเชิงนวัตกรรม ควรรู้ว่าใครในองค์กรเป็นนักนวัตกรรม นักนวัตกรรมส่วนใหญ่จะศึกษาสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเอง มีความคิดนอกกรอบแต่มีความพอดี นักนวัตกรรมแตกต่างจากนักประดิษฐ์คือมีความเข้าใจมนุษย์ นักนวัตกรรมส่วนใหญ่มีแนวคิดอย่างนักประดิษฐ์หรือคคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นนักประดิษฐ์หรือไม่ก็ตามในธรรมชาตินักนวัตกรรมจะมีความใฝ่รู้ในสิ่งใหม่ๆ ไอเดียวใหม่ๆ วิธีคิดใหม่ๆ การแก้ปัญหาใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ และเก็บข้อมูลสิ่งเหล่านั้นไว้ในหัวเสมอๆ การพัฒนานักนวัตกรรมไม่สามารถทำได้โดยการบังคับหรือการสั่ง เพราะนักนวัตกรรมจะสนใจสิ่งต่างๆ ที่เขาสนใจด้วยตัวเอง เนื่องจากนักนวัตกรรมค่อนข้างคิดนอกกรอบต่างจากคนทั่วไป นักนวัตกรรมหลายๆคนมีนักประดิษฐ์เป็นคู่หูหรือเป็นมือขวาไว้เป็นที่ปรึกษา
การตั้งโจทย์เพื่อให้นักนวัตกรรมหาคำตอบ เป็นอีกแนวทางที่องค์กรหลายๆ องค์กรใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่โดดเด่นที่สุด นักนวัตกรรมต้องมีความคิดอย่างแรงกล้าหรือค่อนข้างอินกับการหา Solution นั้นๆ แต่ไม่ควรตีกรอบในแนวทางการหาคำตอบให้มากเกินไปเพราะแนวทางการหาคำตอบของนักนวัตกรรมย่อมไม่เหมือนคนทั่ว นักนวัตกรรมมักมองที่เป้าหมาย มองหาทางเลือกที่ดีที่สุด ราคาถูกที่สุด มุมมองการแก้ปัญหาไม่ได้มองแค่องค์ความรู้ที่ร่ำเรียนหรือเชี่ยวชาญอย่างเดียว
คำตอบง่ายๆ ว่าทำไมเมื่อมีการตั้งโจทย์เพื่อหา Solution แล้วนักนวัตกรรมมักหาคำตอบที่คาดไม่ถึงเสมอๆ ก็เนื่องจากว่าข้อมูลในหัวหรือแนวคิดที่สะสม Idea หรือ Solution แบบไม่จำกัดศาสตร์หรือเทคนิคของนักนวัตกรรมมันมีอยู่ในหัวเต็มไปหมดนั่นเอง ถึงยังไม่มีคำตอบ ณ ตอนนั้น นักนวัตกรรมจะมีแนวทางหรือคอนเนคชั่นเพื่อไปหาคำตอบได้เสมอๆ
การหาคำตอบที่ใช่ของนักนวัตกรรม จำเป็นต้องเข้าถึงสิ่งที่เกียวข้องกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ นักนวัตกรรมจะเข้าไปถึงตั้งแต่วัตถุดิบ เส้นทางลำเลียง กระบวนการผลิต แนวคิดหรืออุปกสรรคต่างๆ ในโต๊ะประชุม การจัดเก็บ จนไปถึงลูกค้า การเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้หรือแนวคิดกับชาวบ้าน ลูกค้า กลุ่มคนหลากหลาย ทั้งเพศ อายุ สังคม ทำให้ได้ Idea หรือการแก้ปัญหาใหม่ๆ เสมอ เช่น เมื่อเข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้านที่ผลิตวัตถุดิบและมีแนวคิดใหม่ๆ เราก็จะถามว่าทำไมลุงไม่ทำอย่างนี้ ป้าไม่ทำอย่างนั้น เรามักจะได้ความรู้ใหม่ที่คิดไม่ถึงเสมอ การแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้กับแแหล่งวัตถุดิบสามารถลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์อย่างคิดไม่ถึง การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้งาน หรือคนให้บริการก็เป็นลักษณะคล้ายกัน
เมื่อนักนวัตกรรมเข้าไปเกียวข้องกับขั้นตอนต่างๆ Solution ใหม่ๆ มักจะเกิดในส่วนงานนั้นๆ เสมอๆ เนื่องจากองค์ความรู้อื่นๆ ที่มีอยู่ในหัวบวกกับความคิดนอกกรอบจะถูกนำมาประยุกต์ใช้ได้ง่ายๆ นั่นเอง
แหล่งของ Solution ของนักนวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเดียว การศึกษาวิธีการแก้ปัญหาจากแหล่งที่มีทุนน้อย หรือมีข้อจำกัดเรื่องเครื่องใหม่เครื่องมือ หรือไม่มีเทคโนโลยีอะไรมาก เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจยังมีราคาแพงอยู่ นักประดิษฐ์หรือนักคิดในแหล่งที่มีข้อจำกัดต่างๆ ไอเดียหรือการแก้ปัญหาจะถูกเค่นออกมาจากหัวแบบสุดๆ แบบเต็มที่ เพราะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ หรือ วิธีการอะไรทันสมัยราคาแพงมาช่วยได้ นั่นหมายความว่า ต้นทุนของการแก้ปัญหามีราคาที่ต่ำกว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ นั่นเอง
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมนะครับ
บรรพต เคลียพวงพิทย์
บรรพต เคลียพวงพิทย์
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559
Coco Easy มะพร้าวธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ที่มา: นิตยสาร SMEs Plus
มะพร้าวน้ำหอมของไทยได้รับการยอมรับว่า มีรสชาติที่หอมหวาน เต็มไปด้วยคุณภาพเหนือประเทศคู่แข่งอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือแม้แต่ในเอเชีย ทำให้ “บรรพต เคลียพวงทิพย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโค่ อีซี่ จำกัด เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในการส่งออกมะพร้าวน้ำหอมเผา
แต่ทั้งนี้ ก็ได้มองเห็นปัญหาที่ว่า มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีขั้นตอนยุ่งยากในการปอกเปลือก เพราะเป็นผลไม้เปลือกหนา หากสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ก็น่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าในตลาดโลกได้ เป็นที่มาของการคิดค้นนวัตกรรมมะพร้าวเผาติดฝาพร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ Coco Easy
บรรพต ได้เล่าให้ฟังถึงที่มา และไอเดียในการสร้างธุรกิจนวัตกรรมตัวนี้ “เดิมทีผมเป็นวิศวกรเกี่ยวกับระบบสื่อสารดาวเทียม ไม่ได้อยู่ในสายงานอาหารเลย แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบทานน้ำมะพร้าวเผามาก ถ้าเจอที่ไหนจะต้องซื้อกิน เพราะรู้สึกว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ทั้งพลังงานและความสดชื่น ถึงขนาดเคยซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้ที่บ้าน แต่ปรากฎว่าเปิดกินเองไม่ได้ เพราะเปลือกมันหนามาก ใช้มีดก็ไม่เป็น เฉาะจนน้ำมะพร้าวกระจายออกมาหมด เวลาจะกินก็คือต้องให้แม่ค้าเขาเฉาะมาให้ หรือซื้อแบบที่ใส่ถุงเอาไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าสดหรือเปล่า
เรามองว่าการจะกินมะพร้าวนี่มันยุ่งยาก น่าจะมีใครคิดค้นวิธีเปิดลูกมะพร้าวที่มันง่ายกว่านี้ พอมีเวลาว่างจากการทำงาน ก็จะคิดหาเครื่องไม้เครื่องมือในการนำมาเปิดลูกมะพร้าว
พอเขียนแบบออกมาได้แล้ว ก็ลองมาคำนวณค่าใช้จ่ายในการผลิต ก็พบว่ามันมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากกว่าที่คิดไว้ เราก็เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ได้มีเงินเพื่อการลงทุนอะไรมากมาย ก็เลยลองไปชวนเพื่อนๆให้มาเข้าหุ้นทำดู ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนสนใจ เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
เคยถึงขนาดเอาไอเดียไปเสนอให้คนอื่นทำ เขายังไม่ทำ บางคนหัวเราะผมด้วยซ้ำ เพราะไม่คิดว่ามันจะทำได้ หรือไม่ก็มองว่า ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำ ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไอเดียที่คิดขึ้นมา คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง ถ้าเราไม่ลงมือทำด้วยตัวเอง
เราก็เริ่มต้นจากการซื้อเครื่องจักรตัวเล็กๆมาปรับปรุงให้มันทำงานได้ แต่ก่อนที่จะซื้อ ก็ได้มีการไปปรึกษากับผู้รู้หลายๆท่าน ทั้งในส่วนของการผลิต และทางด้านการตลาด จนเรามีความมั่นใจกว่า 80% ว่ามันเป็นไปได้จริง ถึงได้ยอมควักตังค์ซื้อเครื่องจักร เพราะมันก็มีราคาที่สูง”
กว่าจะมาเป็นมะพร้าวเผาติดฝาพร้อมเสิร์ฟได้นั้น ต้องผ่านการลองผิดลองถูกหลายอย่าง เพราะการใช้เลเซอร์เจาะลงไปบนตัวมะพร้าวนั้น ต้องใช้ความชำนาญสูง หากยิงเลเซอร์แรงจนเกินไปก็อาจจะทะลุ ส่งผลให้ลูกมะพร้าวเสียหาย หรือหากยิงเลเซอร์เบาเกินไปก็จะทำให้ดึงฝาไม่ออก
“เทคนิคการเจาะมะพร้าวน้ำหอมเผาให้กินง่าย กว่าจะสำเร็จก็ต้องลงทุนไปกับเครื่องเลเซอร์หลายแสนบาท ยังไม่นับรวมมะพร้าวอีกหลายร้อยลูกในการลองผิดลองถูก เพื่อให้ได้ระดับเลเซอร์กับรอยเปิดที่เหมาะสม จากนั้นจึงติดฝาห่วงแบบ Easy Open ไว้บนลูกมะพร้าวอีกทีหนึ่ง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำและเนื้อมะพร้าวที่อยู่ด้านใน
สินค้าล็อตแรกออกวางจำหน่ายเมื่อต้นปี 2556 เราเริ่มต้นจากการเข้าไปนำเสนอที่ฟู้ดแลนด์ และห้างสรรพสินค้าแม็กซ์แวลู่ ซึ่งทั้ง 2 ที่ก็ให้ความสนใจ ให้เอาสินค้าเข้าไปวางขายได้เลย
แต่ในช่วงนั้น เนื่องจากเรามีเครื่องจักรแค่ตัวเดียว กำลังการผลิตจึงน้อย ได้แค่ไม่กี่ร้อยลูกต่อวัน รวมๆแล้วน่าจะผลิตได้แค่ 800 ลูกต่ออาทิตย์เท่านั้นเอง ที่จริงแล้วทางห้างต้องการมากกว่านี้ เพราะสินค้ามันขายดี แต่เราทำให้ไม่ไหว เพราะช่วงนั้นเรายังทำงานประจำอยู่ด้วย พอเลิกงานก็ต้องมาทำตรงนี้ต่อ ก็ช่วยกันทำกับแฟน 2 คนที่บ้าน ต้องขับรถส่งออกเองด้วย ตี 3 ตี 4 ก็ยังขับรถส่งของอยู่ มันหนักมากขนาดที่ว่าพอเจอปั๊มต้องจอดนอนแป๊ปนึง แล้วค่อยไปต่อ พอเจอปั๊มข้างหน้าก็จอดนอนอีก เพราะร่างกายมันไม่ไหว
พอดีกับช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว มะพร้าวขาดตลาดทั้งประเทศ ทางห้างเขาก็รู้ว่ามันไม่มีวัตถุดิบ ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถผลิตสินค้าส่งให้ได้ ก็เลยบอกทางห้างไปว่าขอหยุดส่งสินค้าไว้ก่อน เพราะนอกจากปัญหาการขาดวัตถุดิบแล้ว เราเองยังขาดความพร้อมในหลายๆด้าน อยากจะกลับมาพัฒนาปรับปรุงเรื่องการผลิตให้มันดีขึ้น เร็วขึ้นกว่านี้ก่อน”
ทั้งนี้ ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่นั้น ต้องมีการลงทุนทางด้านเครื่องจักรเพิ่มเติม ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ ในอนาคตก็จะมีปัญหาอีก หากต้องส่งสินค้าเข้าห้างที่มีความต้องการซื้อสินค้าในปริมาณมาก
“สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ การหาทุนมาเพิ่ม ก็ไปเอาชื่อเพื่อนมาลงทุนเปิดเป็นรูปแบบบริษัทร่วมกัน แต่ก็มีผมทำคนเดียวเหมือนเดิมนี่แหละ ตอนนั้นเรามองไปที่การหาคนเข้ามาลงทุน จะไม่ลงทุนเอง เลยเปลี่ยนตลาดจากการนำสินค้าเข้าห้าง มาเป็นเอาสินค้าเข้าสนามกอล์ฟแทน เพราะต้องการมองหานักลงทุน อีกทั้งคนที่มาเล่นกอล์ฟ เป็นคนที่มีกำลังซื้อ สามารถตั้งราคาสินค้าได้สูงกว่าการขายในห้าง และไม่ต้องผลิตในปริมาณที่เยอะมากเหมือนเวลาส่งสินค้าเข้าห้างอีกด้วย
หลังจากนั้นก็ได้รับการติดต่อเข้ามาจากนักลงทุนเยอะมาก ใจผมตอนนั้นอยากจะหาใครสักคนเข้ามาลงทุน หรืออาจจะเข้ามาซื้อกิจการไปเลยก็ได้ แล้วผมก็จะกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม แต่ทีนี้นักลงทุนที่สนใจ และติดต่อเข้ามา ก็คุยกันไม่ลงตัวในเรื่องของผลประโยชน์
ในระหว่างนั้นเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม คือ พอเสร็จจากงานประจำ ก็วิ่งส่งของเข้าสนามกอล์ฟใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เลือกเอาสนามกอล์ฟที่อยู่ใกล้บ้าน หรือไม่ก็ใกล้ที่ทำงานเป็นหลัก เพื่อความสะดวกในการวิ่งส่งของ
ช่วงนั้นก็เริ่มมีส่งออกไปฮ่องกงบ้างแล้ว ก็เป็นลูกค้านี่แหละที่ส่งไปขาย เขามารับสินค้าถึงที่บ้านเลย ความต้องการสินค้ามันเยอะ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องอายุการจัดเก็บ ทำให้ต้องส่งแบบรวดเร็วด้วยระบบขนส่งทางอากาศ ซึ่งก็ไม่คุ้มกับต้นทุน
แต่ในท้ายที่สุด บรรพตก็ได้พบกับนักลงทุนที่เหมาะสม จึงตัดสินใจขายหุ้นบริษัทให้ และให้สิทธิในการเข้ามาดูแล และบริหารงาน ให้มีความเป็นระบบมากขึ้น
“เดิมทีผมทำของผมคนเดียว ระบบการบริหารจัดการมันก็ไม่ดี นักลงทุนคนนี้ก็เข้ามาดูแลทุกอย่าง ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ทุกอย่างมันก็เลยเข้าที่ได้เร็วขึ้น
ส่วนปัญหาในเรื่องอายุการจัดเก็บ ก็ได้ไปขอคำปรึกษาจาก ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และดร.เอกพงษ์ ชีวิตโสภณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก็ได้รับคำแนะนำให้เลือกใช้กระบวนการแช่เยือกแข็งโดยใช้ไนโตรเจนเหลว ซึ่งจะช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้นานขึ้น โดยที่ลักษณะเนื้อสัมผัส และรสชาติไม่แตกต่างจากมะพร้าวเผาที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด
ในขณะนี้อายุของสินค้าจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ถ้าวางอยู่ข้างนอก อากาศบ้านเรามันร้อนก็อาจจะได้แค่วันเดียว แต่ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นที่เปิดๆปิดๆอยู่ตลอด ก็จะได้ซักอาทิตย์หนึ่ง แต่ถ้าขนส่งใส่ตู้คอนเทนเนอร์ที่ปิดสนิท ควบคุมความเย็น ความแห้ง และสะอาดก็จะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ขึ้นอยู่กับการจัดเก็บเป็นหลัก
ตอนนี้เลยสามารถส่งออกไปยังประเทศใกล้ๆเท่านั้นอย่างจีน ฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดหลักกว่า 95% ที่เหลือจะมีวางขายในไทยบ้างตามสนามกอล์ฟ และห้างแม็กซ์แวลู่
ที่จริงแล้วตอนนี้มีออเดอร์เข้ามาจากทั่วโลก ทั้งอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรป แต่เรายังติดปัญหาอยู่ 2 เรื่องหลักๆ ที่ทำให้ยังส่งสินค้าไปไม่ได้
เรื่องแรกเลย ก็คือ การยืดอายุสินค้า ที่จริงแล้วมีโซลูชั่นการแช่แข็งอยู่ตัวหนึ่ง เป็นของทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯลาดกระบังเป็นการแช่แข็งมะพร้าวทั้งลูก ที่จะช่วยคงสภาพสินค้าให้เหมือนเดิมได้ 1 ปี
แต่เราต้องเอามาพัฒนาต่อเอง ซึ่งต้องใช้เงินในการลงทุนเยอะมาก พอดีว่าเราได้รับเงินทุนจากนักลงทุนคนหนึ่งเพิ่ม จึงสามารถนำมาพัฒนากระบวนการแช่แข็งตัวนี้ได้ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงของการวิจัยและพัฒนาโซลูชั่นอยู่
เรื่องต่อมา คือ การผลิต ตอนนี้เราย้ายฐานการผลิตมาอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมรังสิต และเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมวันละไม่กี่ร้อยลูก เป็นวันละ1,000 ลูก และจะขยับไปเรื่อยๆ จนถึงหลักหมื่นต่อวัน
กำลังการผลิตของเราพร้อมแล้ว แต่ยังติดตรงเรื่องการขอมาตรฐานการผลิตต่างๆในการส่งออกสินค้า เนื่องจากเราวางเป้าหมายไว้ว่าจะส่งสินค้าไปขายทั่วโลก จึงต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะแต่ละประเทศก็มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันไป รวมถึงในเรื่องของการจดสิทธิบัตรทั่วโลกด้วย เพราะตอนนี้เราจดสิทธิบัตรแค่ในไทยเท่านั้น ถ้าทั้ง 2 เรื่องหลักนี้สำเร็จเมื่อไร ก็จะสามารถส่งออกสินค้าไปได้ทั่วโลกทันที เพราะตอนนี้ก็มีออเดอร์เข้ามารออยู่แล้ว
ก็วางแผนไว้ว่าจะเริ่มต้นขยายตลาดจากประเทศใกล้ๆก่อน เพื่อรอดูว่าผลตอบรับดีไหม หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะได้แก้ไขได้ทัน แล้วค่อยๆขยายโซนออกไปเรื่อยๆจนครอบคลุมทั่วโลก เพราะถ้าลงสินค้าพร้อมกันเลยทีเดียวทุกโซน แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา มันจะแก้ไขไม่ทัน”
สำหรับเรื่องราคาขายนั้น ขึ้นอยู่กับลูกค้าในแต่ละประเทศจะเป็นคนตั้งราคา เพราะแต่ละประเทศก็จะมีต้นทุนในการขนส่งที่แตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับสถานที่ในการวางจำหน่ายด้วย
อย่างในประเทศไทย ถ้าวางขายในห้างสรรพสินค้า ก็จะตั้งราคาอยู่ที่ 50-55 บาท แต่ถ้าเป็นในภัตตาคาร หรือในโรงแรมก็สามารถตั้งราคาขายได้สูงถึง 100-120 บาท ส่วนในเมืองนอกก็จะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท
ถึงแม้จะโฟกัสไปที่ตลาดส่งออกเป็นหลักกว่า 95% แต่บรรพตก็ไม่ได้ทิ้งตลาดในประเทศ แต่มองว่าจะต้องเป็นกลุ่มเป้าหมายในระดับบน อย่างเช่นตามภัตตาคาร,โรงแรม,รีสอร์ท, ห้างหรู รวมถึงในสนามกอล์ฟ
มะพร้าวน้ำหอมเผาติดฝาภายใต้แบรนด์ Coco Easy นับว่าเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีในท้องตลาด จุดเด่นอยู่ที่ความสะดวกในการเปิดรับประทาน ตอบโจทย์เรื่องประหยัดเวลา เข้ากันได้ดีกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ แถมยังให้รสชาติที่สดใหม่ไม่ต่างไปจากมะพร้าวเผาที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป
Coco Easy จึงเป็นสินค้านวัตกรรมจากผลไม้ไทย ที่น่าจะสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
@@@@ ข้อมูลโดยนิตยสาร SMEs Plus @@@@
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


